สำนักงานพาณิชย์จังหวัดชัยนาท
116 ถ.คันกั้นน้ำชลประทาน ต.บ้านกล้วย อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท 17000
โทรศัพท์ : 056-412-507 Email : cn_ops@moc.go.th
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยบริษัทตั้งใหม่ เดือน ก.ย.67 มีจำนวน 7,867 ราย เพิ่ม 11% ทุนจดทะเบียน 20,048.51 ล้านบาท ลด 9% เลิกกิจการ 2,254 ราย เพิ่ม 11% ทุนจดทะเบียน 16,611.91 ล้านบาท ลด 4% รวม 9 เดือน ตั้งใหม่ 69,686 ราย เพิ่ม 1% เลิก 12,246 ราย ลด 6% ชี้ช่วง 9 เดือน ธุรกิจออกอากาศทางวิทยุ ตู้หยอดเหรียญ ปลูกข้าวเจ้า มาแรง คาดทั้งปีตั้งใหม่ 9-9.8 หมื่นราย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ เดือน ก.ย.2567 มีจำนวน 7,867 ราย เพิ่มขึ้น 11% ทุนจดทะเบียน 20,048.51 ล้านบาท ลดลง 9% โดยธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร ส่วนการจัดตั้งใหม่รวม 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวน 69,686 ราย เพิ่มขึ้น 1% ทุนจดทะเบียน 208,481.38 ล้านบาท ลดลง 58% เพราะช่วงเดียวกันของปี 2566 มีทุนจดทะเบียนสูงสุดในประวัติการณ์ เนื่องจากมี 2 ธุรกิจ ที่ทุนจดทะเบียนเกิน 100,000 ล้านบาท ได้ควบรวมและแปรสภาพ คือ ทรูกับดีแทค และบิ๊กซี โดยธุรกิจที่จัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร
สำหรับการจดทะเบียนเลิกเดือน ก.ย.2567 มีจำนวน 2,254 ราย เพิ่มขึ้น 11% ทุนจดทะเบียน 16,611.91 ล้านบาท ลดลง 4% โดยเดือน ก.ย.นี้ มีนิติบุคคลที่เลิกกิจการมีทุนเกิน 1,000 ล้านบาท 2 ราย คือ บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ทุน 4,959.27 ล้านบาท และบริษัท เซ็นทรัล เจดี มันนี่ จำกัด ทุน 2,532.00 ล้านบาท โดยธุรกิจเลิก 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร และยอดรวมเลิกกิจการ 9 เดือน มีจำนวน 12,246 ราย ลดลง 6% ทุนจดทะเบียน 116,005.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.51% เพราะเดือน พ.ค.2567 มีธุรกิจด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร ทุนจดทะเบียน 48,209.34 ล้านบาท ได้จดทะเบียนเลิกกิจการ ทำให้ทุนเลิกสูงกว่าปกติ ส่วนธุรกิจเลิก 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ พบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มี 3 ธุรกิจที่น่าจับตามอง ได้แก่ 1.ธุรกิจการออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง (ยกเว้นทางออนไลน์) ที่มีการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 410% เนื่องจาก กสทช. ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงดำเนินการขอรับใบอนุญาตกิจการกระจายเสียงภายในวันที่ 31 ธ.ค.2567 เพื่อนำไปประกอบการขออนุญาตดังกล่าว 2.ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เช่น ตู้หยอดเหรียญล้างรถ ตู้หยอดเหรียญคีบตุ๊กตาและจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ และตู้บริการถ่ายภาพโฟโต้บูธ จดทะเบียนเพิ่มขึ้น 360% 3.ธุรกิจปลูกข้าวเจ้า จดทะเบียนเพิ่มขึ้น 256% เนื่องจากกรมการข้าวสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกร จัดตั้งเป็นนิติบุคคล เพื่อเข้าร่วมโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตร
ส่วนการคาดการณ์จดทะเบียนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 คาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากการลงทุนภาครัฐ เช่น โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2568 เริ่มในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 (ต.ค.2567) ที่จะทยอยเริ่มโครงการ และช่วงปลายปีเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ระหว่างเดือนพ.ย.2567-เม.ย.2568 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมทั้งนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ประกาศออกมาในช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา อาทิ การผลักดันการปรับโครงสร้างหนี้ การส่งเสริมและป้องการผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย การกระตุ้นเศรษฐกิจผลักดันการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นต้น จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการใช้จ่ายให้กับภาคเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายมีปริมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 20,000-23,000 ราย และคาดว่าตลอดปี 2567 จะมีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ประมาณ 90,000-98,000 ราย
ทางด้านการการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ในช่วง 9 เดือน มีจำนวน 636 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 143 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 493 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท จ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 2,505 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน สหรัฐฯ และฮ่องกง
ขณะที่การลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ใน 9 เดือน ปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 207 ราย หรือ 33% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ เพิ่มขึ้น 109% มีมูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท หรือ 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 147% เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 67 ราย ลงทุน 13,191 ล้านบาท จีน 54 ราย ลงทุน 7,227 ล้านบาท ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,219 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 68 ราย ลงทุน 14,192 ล้านบาท